
รถสูตรหนึ่ง หรือ ฟอร์มูลาวัน (อังกฤษ: Formula One) หรือ เอฟวัน (อังกฤษ: F1) หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า FIA Formula One World Championship[1] เป็นการแข่งขันรถระดับสูงสุดจากความช่วยเหลือของสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ (Fédération Internationale de l'Automobile (FIA)) คำว่า "สูตร" หมายถึงกฎกติกาที่ผู้เข้าแข่งขันและรถทุกคันต้องปฏิบัติตาม[2] ฤดูกาลแข่งขันของเอฟวัน ประกอบด้วยการแข่งขันหลายครั้งหรือที่เรียกว่า กรังด์ปรีซ์ (Grands Prix) ตามวัตถุประสงค์การสร้างของสนามแข่งและไปจนถึงขนาดที่เล็กลง ถนนสาธารณะและถนนปิดในเมือง ผลของการแข่งขันจะรวมและพิจารณาให้กับแชมป์ในส่วนของผู้ขับและผู้ผลิต ในส่วนของผู้ขับรถ ทีมผู้ผลิต เจ้าหน้าที่ทางรถ ผู้จัดเตรียม และสนามต้องมีผู้ที่ถือใบอนุญาตซูเปอร์ไลเซนซ์[3] ใบอนุญาตการแข่งรถสูงสุดจาก FIA[4]

การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง แข่งด้วยความเร็วสูงถึง 360 กม/ชม. กับเครื่องยนต์สูงสุด 18,000 รอบ/นาที ประสิทธิภาพของรถขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์อากาศพลศาสตร์ การเบรกและยาง
ยุโรปถือเป็นจุดศูนย์กลางการแข่งของรถสูตรหนึ่ง และมีการแข่งขันเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก้ได้ขยับขยายไปในส่วนต่าง ๆ ของโลกในปีหลัง ๆ การแข่งขันในยุโรปและอเมริกาก็ถูกลดลงไป การแข่งขัน 17 ครั้งในปี 2009 มี 8 ครั้งที่จัดขึ้นนอกยุโรป
การแข่งขันรถสูตรหนึ่งยังถือเป็นรายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมหาศาล มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 600 ล้านคนต่อฤดูกาล[5] และด้วยความที่เป็นกีฬาที่แพงที่สุดในโลก[6] จึงมีผลต่อด้านเศรษฐกิจอย่างมาก และการเงินและการต่อสู้ด้านการเมือง และยังปรากฏถึงด้านการค้าที่นำไปสู่การหาผู้สนับสนุนอย่างมาก นำไปสู่การหาค่าใช้จ่ายของผู้ผลิต อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2000 ค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มที่สูงขึ้น หลายทีม รวมถึงทีมผู้สร้างรถและทีมที่มีผู้สนับสนุนน้อย ก็ล้มหายไปหรือถูกขายให้บริษัทอื่น สิ่งนี้เองทำให้มีตัวจำกัดผู้เข้าร่วมแข่งขันด้วย

เรื่องราวเกี่ยวกับ รถ F1 ( รถแข่งเอฟวัน )
รถ F1, รถแข่งเอฟวัน, รถสูตร 1, ฟอร์มูลาวัน, รถ Formula One
หลายคนได้เปรียบเทียบรถแข่งเอฟวัน ( F1 )ว่ามีความคล้ายคลึงกับเครื่องบินขับไล่ในหลายๆด้าน ซึ่งหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำความสำเร็จมาสู่ทีมแข่งแต่ละทีม
ในการนี้ทีมแข่งทุกทีมต้องลงทุนเป็นเม็ดเงินมหาศาลไปในการค้นคว้าวิจัย ตลอดจนพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของรถตลอดเวลา
สำหรับทีมออกแบบนั้น ทีมวิศวกรจะคำนึงปัจจัย 2 ปัจจัยในการออกแบบนั่นก็คือ ทำยังไงให้รถวิ่งได้เร็วขึ้นอีก ส่วนอีกประการก็คือ สร้างค่าดาวน์ฟอร์ซให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม (ค่าดาวน์ฟอร์ซเยอะ จะช่วยกดหน้ารถขณะที่วิ่ง ทำให้เข้าโค้งได้ง่าย และ นุ่มนวลมากขึ้น)
.jpg)
สูตร = น้ำหนักตัวปัจจุบัน (กิโลกรัม) มีหลายทีมแข่งในยุคนี้ ที่หันกลับไปหาปีกติดรถที่เป็นรูปแบบที่ใช้กันในยุคปลายทศวรรษที่ 60 ปีก หรือ แพนหางที่อยู่รถแข่งเอฟวัน จะทำหน้าที่เหมือนกับปีก หรือ แพนหางของเครื่องบิน ต่างกันตรงที่เครื่องบินใช้ปีกในการพยุงตัวมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่รถแข่งเอฟวันใช้มันในการช่วยเพิ่มดาวน์ฟอร์ซแก่ตัวรถ โดยในปัจจุบันรถแข่งเอฟวันมีค่าดาวน์ฟอร์ซประมาณ 3.5 g (ประมาณ 3.5 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง)
เคยมีการทดลองให้รถแข่งเอฟวันใช้ความเร็วเต็มที่โดยไม่ได้ใส่ปีกเข้ากับตัวรถ ปรากฏว่ารถไม่สามารถที่จะวิ่งได้เหมือนปกติ ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งกฏ และ กติกา ตลอดจนการพัฒนาชิ้นส่วนเช่นขนาดของปีก หรือ ตำแหน่งที่ติดตั้งปีก ทำให้ลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถแข่งเอฟวันไปได้มากเลยทีเดียว ในการแข่งขันแต่ละสนาม ทีมออกแบบก็จะต้องคิดค้น และ ปรับเปลี่ยนตัวรถให้เข้ากับสนามนั้นๆ อย่างเช่นในการแข่งขันที่ โมนาโก หรือ โมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งมีทางตรงไม่มาก และ มีโค้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปีกของรถจึงมี 2 ชั้นขึ้นไป (ในปี 2004 เพิ่งจะมีการแก้กฏให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ชั้น) แต่ขณะที่สนามซึ่งมีทางตรงยาวๆอย่าง มอนซ่า ในอิตาลี รถของทุกทีมจะพยายามใช้ปีกแบบชั้นเดียว หรือ ลดให้มีชั้นน้อยที่สุด เพื่อต้องการทำความเร็วสูงสุดบนทางตรง และ ลดแรงเฉื่อยให้มากที่สุดนั่นเอง ไม่นานมานี้ ทีมแข่งหลายๆทีม เริ่มจะเลียนแบบ เฟอร์รารี่ ในเรื่องการออกแบบบริเวณท้ายของตัวรถให้แคบ และ ต่ำที่สุดที่จะเป็นได้ เพราะมันสามารถลดแรงเฉื่อยได้มหาศาล เบรก (Brakes) แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของเทคโนโลยี แต่กติกาของรถแข่งเอฟวัน กลับไม่อนุญาตให้ติดตั้งระบบเบรกแบบกันเบรกล็อก หรือ ABS ได้ โดยเพิ่งจะมีการแบนไม่ใช้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง แม้ไม่ใช่ ABS ทว่ารถแข่งเอฟวัน ก็ใช้เทคโนโลยีในอุปกรณ์อื่นๆมาชดเชย โดยในการทดลองอันหนึ่งมีการนำรถเอฟวันที่วิ่งด้วยความเร็วกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้ความเร็ว และ หยุดในทันที ปรากฏว่าสามารถที่จะหยุดรถนี้ได้แบบสนิทในระยะทางที่สั้นกว่ารถนั่งโดยสารทั่วๆไป ที่ทำความเร็วที่ระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียอีก ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง (Cockpit/safety) ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง ถือเป็นหัวใจของรถแข่งเอฟวันยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง เราจะเห็นได้ว่าแม้จะประสบอุบัติเหตุหนักๆ แต่นักแข่งยุคนี้มักจะไม่เป็นอะไรมากนัก ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ FIA รถแข่งเอฟวัน ก็ไม่ต่างจากรถบ้านทั่วๆไป ที่จะต้องมีการทดสอบการชนเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัย ก่อนที่รถจะนำไปใช้แข่ง ซึ่งในการทดสอบนั้นจะใช้ความเร็วเหมือนในสนามแข่งจริงเลย เพื่อจะดูความสามารถของรถว่าสามารถรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน โค้ง หรือ มุม (Cornering) โค้ง หรือ มุม ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการแข่งรถ การแข่งเอฟวันก็เช่นเดียวกัน

การขับเคี่ยวกันบนทางตรงดูเหมือนจะเป็นการตัดสินกันที่รถคันใดมีพลังเครื่องยนต์ที่มหาศาล หรือ มีระบบเบรกที่เหนียวหนึบกว่ากัน แต่เมื่อเข้าโค้ง ทักษะ และ ฝีมือในการบังคับรถของนักแข่งจะดูเด่นชัดขึ้นทันที ผลแพ้ชนะของการแข่งขันบางครั้งอาจจะตัดสินกันที่โค้งเลยด้วยซ้ำ อาการของรถที่เรียกว่า โอเวอร์สเตียร์ (oversteer) หรือ อันเดอร์สเตียร์ (understeer) คืออาการที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ขณะที่รถเข้าโค้ง จำง่ายๆ ก็คือ โอเวอร์สเตียร์ คือ อาการที่ด้านท้ายของรถเกิดการปัด และ พยายามจะแซงขึ้นหน้า ขณะที่ด้านหน้ารถกำลังเข้าโค้งอยู่ ส่วน อันเดอร์สเตียร์ ก็คือ การที่รถเข้าโค้งผ่านไปได้โดยที่รถเหมือนจะหนีจากศูนย์กลางออกไป อาการอันเดอร์สเตียร์ ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เพราะเมื่อรถลดระดับความเร็วลงจากเดิม อาการที่ว่านี้ก็จะหายไป หรือ ไม่ปรากฏ และรถในปัจจุบันนี้ก็สามารถกำหนดได้ว่าจะให้ค่าของการอันเดอร์สเตียร์อยู่ที่ลิมิตเท่าไหร่ ขณะที่ โอเวอร์สเตียร์ ดูจะควบคุมได้ยากกว่า อันเดอร์สเตียร์ อย่างไรก็ดีหากเป็นนักแข่งที่มีความชำนาญมากๆ นักแข่งเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์จากการ โอเวอร์สเตียร์ ได้เช่นกัน เมื่อสามารถจะทำความเร็วก่อนเข้าโค้งได้เพิ่มขึ้น ปกติแล้วสเต็ปขณะที่รถแข่งเข้าโค้งนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกันประกอบด้วย turn-in, apex และ exit
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น