วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เจาะลึกรถ RED BULL

เจาะลึกรถ RED BULL RB6 กระทิงแดงแรงฤทธิ์




พลัง 700 แรงม้าในเครื่องยนต์ V8 2400 c.c. กับการคว้าชัยชนะด้วยเทคโนโลยีบนสนามแข่งขันที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก
วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2480 ราชยานยนต์สมาคมได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย ให้ปิดเส้นทางถนนราชดำเนิน ตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าลีลาศจนไปถึงหน้าพระบรมรูปทรงม้า เพื่อให้มีการประลอง ความเร็วของรถยนต์ชนิดต่างๆ และเนื่องในโอกาสที่ พระองค์เจ้าพีระพงษ์ ภานุเดช ได้เสด็จกลับประเทศไทยพร้อมกับพระญาติ ซึ่งทรงเป็นผู้จัดการทีมรถแข่งของพระองค์เอง ทำหน้าที่ดูแลและจัดหารถแข่งชั้นเยี่ยมกับช่างประจำทีมตลอดจนจัดหาทุนทรัพย์ นั่นก็คือ พระองค์เจ้า จุลจักรพงษ์ หลังจากนำทีมแข่งรถคอกหนูขาว ซึ่งมีพระองค์เจ้าพีระฯ เป็นนักขับคว้าตำแหน่ง เจ้าดาราทองหรือรางวัลชนะเลิศสูงสุดของการแข่งขันรถยนต์กรังด์ปรีซ์ในประเทศอังกฤษได้เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน (ภายหลังพระองค์เจ้าพีระฯ เดินทางกลับไปยังประเทศอังกฤษแล้วคว้าชัยชนะเป็นปีที่สามติดต่อกัน พร้อมกับขึ้นรับรางวัลเจ้าดาราทองหรือ โกลด์สตาร์แฮททริค ที่ยังไม่เคยมีนักขับคนใดทำได้มาก่อนจวบจนปัจจุบัน) พระองค์พีระฯ จะทรงขับรถแข่งคันล่าสุดชื่อ รอมิวลุส ให้ประชาชนได้ชมกันอีกด้วย ซึ่งการแข่งขันรถยนต์ในทวีปยุโรปช่วงปี พ.ศ. 2480 เปรียบเทียบได้กับการแข่งขันรถ Formula 1 ของยุคปัจจุบันนี้ เนื่องจากความนิยมอันล้นหลามของผู้ชมในสนามและความเร็วของตัวรถจากเครื่องยนต์และระบบต่างๆ ที่มีความคล้ายคลึงกันในการพัฒนารถแข่งของแต่ละยุคสมัย

พระองค์เจ้าพีระฯ ชนะเลิศที่พระราชวังคริสตัลพาเลซ ปี พ.ศ. 2480 และรับรางวัลดาราทองจากชัยชนะ 2 ปีซ้อน 

ในหนังสือพิมพ์ประชามติซึ่งวางจำหน่ายช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะอุบัติขึ้น ได้ลงข่าวการปิดถนนเพื่อโชว์รถแข่งของพระองค์เจ้าพีระฯ ในครั้งนั้นว่า "พอได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม และทั้งคอยเฝ้าจับตามองอยู่ ก็ได้เห็นพระองค์เพียงแวบเดียวเท่านั้น"ส่วนหนังสือพิมพ์ ดาวนคร ได้ลงบทความวิจารณ์การขับรถแข่งของพระองค์เจ้าพีระฯ เอาไว้ว่า "แต่ก่อนพวกเราโดยมากเข้าใจไปว่า การแข่งรถนั้นคือการแสดงความสามารถของเครื่องยนต์ ใครมีรถที่มีเครื่องยนต์ดีกว่า มีคุณภาพในการทำความเร็วทางตรงสูงกว่า ย่อมได้รับชัยชนะในการลงทำการแข่งขัน แต่บัดนี้ พระองค์เจ้าพีระฯได้แสดงให้เราเข้าใจได้ว่า การแข่งรถนั้นสำคัญต้องอยู่ที่ความเร็วของเครื่องยนต์และความชำนาญในการขับรถแข่งคันนั้นให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก จากความสามารถของผู้ขับบวกกับสมรรถนะของตัวรถ พระองค์ได้แสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญในการควบคุมรถแข่งที่ความเร็วสูง โดยเฉพาะช่วงทางโค้ง ด้วยการใช้เทคนิคของการขับรถเมื่อเลี้ยวโค้งด้วยความเร็วสูงให้กับคนไทยที่เข้าชมอยู่สองข้างทางของถนนราชดำเนินได้เข้าใจ ถ้าความชำนาญของผู้ขับไม่พอดีกับสมรรถนะของรถแข่งคันนั้นๆ นั่นคือบ่อเกิดแห่งอันตราย ความชำนาญ ความหนักแน่นมั่นคงของระบบประสาท เป็นหัวใจสำคัญของการแข่งรถ เท่ากับความสำคัญของคุณภาพรถแข่งเลยทีเดียว"

                   

พระองค์เจ้าพีระฯ ขับนำจนเข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 ที่อังกฤษเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2480


รถแข่งชื่อหนุมานของพระองค์เจ้าพีระฯ เข้าเส้นชัยในอันดับที่ 1 ของการแข่งขันที่แคมป์เบลล์


สนามดอนิงตัน ก้อนกรวดที่กระเด็นมาโดนกระจกแว่นจนทำให้พระองค์เจ้าพีระต้องออกจากการแข่งขัน
ปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลงมติในที่ประชุมรัฐสภา อนุมัติให้มีการจัดการแข่งขันรถยนต์ในประเทศไทยขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อว่า กรุงเทพฯ กรังด์ปรีซ์ ซึ่งเป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ที่ต้องการโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศไทยให้นำหน้าชาติเอเซียอื่นๆ ในยุคนั้นบนกีฬามอเตอร์สปอร์ต เงินรางวัลของผู้ชนะในรายการกรุงเทพฯกรังด์ปรีซ์ รัฐบาลได้นำเงินส่วนหนึ่งมาจากการออกสลากจำนวน 100,000 บาท มอบให้ราชยานยนต์แห่งประเทศไทย (ร.ย.ส.ท.) รับผิดชอบดำเนินงานกำหนดเส้นทางการแข่งขันรอบพระบรมมหาราชวัง ถึงบริเวณถนนรอบท้องสนามหลวง ความใฝ่ฝันของทั้งสองพระองค์เกือบจะเป็นจริงโดยมีนักขับรถแข่งชั้นนำของโลก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน สวิส อิตาลีและฮอลแลนด์ ตอบรับจดหมายเชิญจากพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่มหาสงครามโลกครั้งที่สอง ได้อุบัติขึ้นทำให้การแข่งขันรถยนต์ในรายการ "กรุงเทพฯกรังด์ปรีซ์" ต้องล้มเลิกไปโดยปริยาย 

จวบจนทุกวันนี้รถแข่ง "รอมิวลุส" ในสภาพสมบูรณ์ ยังคงจอดสงบนิ่งอยู่บนแท่นโชว์ที่พิพิธภัณฑ์รถแข่งในประเทศอังกฤษ เพื่อรอคอยวันเวลาที่จะได้ออกมาโลดแล่นไปบนสนามแข่งขัน เพื่อสานต่อประวัติศาสตร์กีฬามอเตอร์สปอร์ตของคนไทย ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต





RB6 Red Bull Racing Team In Bangkok
18 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ช่วงบ่ายสี่โมงเย็น กับการเชื่อมประสานรอยต่อของประวัติศาสตร์ทั้งสองยุคบน ถนนราชดำเนินก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ รถแข่ง RB6 ของ Red Bull Racing Team ที่ขับโดยสุดยอดนักแข่ง F1 Mark Webber พุ่งทะยานผ่านทางโค้งของวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยด้วยความเร็วสูง พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ V8 ที่มีปริมาตรความจุเพียงแค่ 2.4 ลิตรหรือ 2400 c.c. แต่มีแรงม้ามากถึงกว่า 680-700 แรงม้า รถแข่งที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดเล็กแต่ให้แรงบิดที่สูงมากคันนี้ พร้อมทีมแข่ง Red Bull Racing Team เป็นของคนไทยที่มีใจรักทางกีฬามอเตอร์สปอร์ตที่ออกเดินทางจากทวีปยุโรปตรงเข้าสู่ถนนราชดำเนิน เพื่อเปิดโอกาศให้คนไทยที่มีใจรักกีฬาแข่งรถได้เห็นถึงประสิทธิภาพ และสมรรถนะอันสุดยอด จนสามารถคว้าตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งขัน Formula 1 ประจำฤดูกาล 2010 มาครองด้วยความภาคภูมิใจ



RB6 Red Bull F1 Racing-Car

Renault Engine RS 27-2010


RB6 F1 OZ Racing
รถ RB6 ของ Red Bull Racing F1 Team คันที่วิ่งโชว์บนถนนราชดำเนินใช้โครงตัวถังแบบ Composite Monocoque Structure โดยการขึ้นรูปโครงรถด้วยวัสดุคาร์บอนคอมโพสิต ซึ่งจะผ่านกรรมวิธีในการอบขึ้นรูปด้วยเตาอบแรงดันสูง เพื่อให้เส้นใยคาร์บอนเกาะยึดกันอย่างเหนียวแน่น เครื่องยนต์ที่วางอยู่ด้านหลังนักขับ เป็นเครื่องยนต์แบบ V8 ความจุ 2.4 ลิตร วางทำมุม 90 องศา มีวาล์วทั้งหมด 32 ตัว เครื่องยนต์ตัวนี้ใช้รหัส Renault Engine RS 27-2010 ผลิตโดยแผนกมอเตอร์สปอร์ตของบริษัท Renault  ซึ่งเป็นแผนกที่ทำการค้นคว้าวิจัย รวมถึงพัฒนาเครื่องยนต์ของรถแข่ง F1 แล้วผลิตเพื่อส่งให้กับทีมแข่งของ Red Bull ใช้ทำการแข่งขัน 

ระบบส่งกำลังหรือระบบเกียร์ของรถ RB6 เป็นเกียร์อัตโนมัติแบบเซมิออโตเมตริค 7 สปีด ทำงานด้วยระบบไฮดรอลิคของเหลวหล่อลื่นแรงดันสูง กลไกในการสับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ขึ้น-ลง กับตัวครัช พัฒนาโดยบริษัท AP Racing สามารถเปลี่ยนจากเกียร์ 7 ลงมาที่เกียร์ 2 ภายในชั่วพริบตา โดยนักขับแค่กระดิกนิ้วตรงแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์หลังพวง มาลัย ล้อของรถแข่ง RB6 เป็นล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบรูยึดเดี่ยว หรือ Center Lock เพื่อความรวดเร็วในการถอดเข้า-ออก เมื่อวิ่งเข้าพิตเปลี่ยนยาง วงล้อทั้งสี่เป็นของค่ายล้อแม็ก OZ Racing จากอิตาลี ซึ่งเป็นบริษัทผลิตล้อรถแข่งหลากหลายประเภท ล้อหน้าขนาด 12.0 นิ้ว x 13.0 นิ้ว ส่วนล้อหลังขนาด 13.7 นิ้ว x 13.0 นิ้ว และถูกหุ้มรัดเอาไว้ด้วยยางซิ่ง F1 ของ Bridgestone



Double Wishbone With Springs And Anti-Roll Bar, Multimatic Dampers


RB6 Brembo Brakes
ระบบกันสะเทือนด้านหน้าของเจ้า RB6 เป็นอัลลอยน้ำหนักเบาส่วนผสมพิเศษกับคาร์บอนคอมโพสิต แบบ Double Wishbone With Springs And Anti-Roll Bar, Multimatic Dampers ส่วนกันสะเทือนหลังก็ยังเหมือนกับด้านหน้า เพื่อสร้างแรงยึดเกาะกับผิวถนนให้มากที่สุดในการวิ่งทั้งบนทางตรงหรือทางโค้ง ซึ่งบางสนามใช้รอบสูงถึง 17,500-18,000 รอบต่อนาที ส่วนระบบห้ามล้อเป็นเบรคแบบจานดิสเบรค พร้อมคาร์ลิปเปอร์เบรคของ Brembo บริษัทที่รับผลิตเบรคขนาดใหญ่ให้กับรถแข่งและรถซุปเปอร์คาร์ที่มีแรงม้ามากๆ จานเบรคคาร์บอนของรถ RB6 ก็ยังผลิตจากบริษัท Brembo อีกเช่นกัน ส่วนกล่องอิเล็กทรอนิกส์ ที่ควบคุมระบบต่างๆ ของตัวรถ จะอยู่ในการดูแลของสมาพันธ์ยานยนต์นานาชาติ FIA หรือ FIA (MESL) Standard Control Unit ที่เข้มงวดมากในการบังคับเพื่อมิให้เกิดการเอาเปรียบในระหว่างการแข่งขัน ของเหลวหล่อลื่นและเชื้อเพลิงจากบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศส Total Group.




รถ F1



    รถสูตรหนึ่ง


รถสูตรหนึ่ง หรือ ฟอร์มูลาวัน (อังกฤษFormula One) หรือ เอฟวัน (อังกฤษF1) หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า FIA Formula One World Championship[1] เป็นการแข่งขันรถระดับสูงสุดจากความช่วยเหลือของสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ (Fédération Internationale de l'Automobile (FIA)) คำว่า "สูตร" หมายถึงกฎกติกาที่ผู้เข้าแข่งขันและรถทุกคันต้องปฏิบัติตาม[2] ฤดูกาลแข่งขันของเอฟวัน ประกอบด้วยการแข่งขันหลายครั้งหรือที่เรียกว่า กรังด์ปรีซ์ (Grands Prix) ตามวัตถุประสงค์การสร้างของสนามแข่งและไปจนถึงขนาดที่เล็กลง ถนนสาธารณะและถนนปิดในเมือง ผลของการแข่งขันจะรวมและพิจารณาให้กับแชมป์ในส่วนของผู้ขับและผู้ผลิต ในส่วนของผู้ขับรถ ทีมผู้ผลิต เจ้าหน้าที่ทางรถ ผู้จัดเตรียม และสนามต้องมีผู้ที่ถือใบอนุญาตซูเปอร์ไลเซนซ์[3] ใบอนุญาตการแข่งรถสูงสุดจาก FIA[4]


การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง แข่งด้วยความเร็วสูงถึง 360 กม/ชม. กับเครื่องยนต์สูงสุด 18,000 รอบ/นาที ประสิทธิภาพของรถขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์อากาศพลศาสตร์ การเบรกและยาง
ยุโรปถือเป็นจุดศูนย์กลางการแข่งของรถสูตรหนึ่ง และมีการแข่งขันเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก้ได้ขยับขยายไปในส่วนต่าง ๆ ของโลกในปีหลัง ๆ การแข่งขันในยุโรปและอเมริกาก็ถูกลดลงไป การแข่งขัน 17 ครั้งในปี 2009 มี 8 ครั้งที่จัดขึ้นนอกยุโรป
การแข่งขันรถสูตรหนึ่งยังถือเป็นรายการโทรทัศน์ที่มีผู้ชมมหาศาล มีผู้ชมทั่วโลกกว่า 600 ล้านคนต่อฤดูกาล[5] และด้วยความที่เป็นกีฬาที่แพงที่สุดในโลก[6] จึงมีผลต่อด้านเศรษฐกิจอย่างมาก และการเงินและการต่อสู้ด้านการเมือง และยังปรากฏถึงด้านการค้าที่นำไปสู่การหาผู้สนับสนุนอย่างมาก นำไปสู่การหาค่าใช้จ่ายของผู้ผลิต อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2000 ค่าใช้จ่ายที่มีแนวโน้มที่สูงขึ้น หลายทีม รวมถึงทีมผู้สร้างรถและทีมที่มีผู้สนับสนุนน้อย ก็ล้มหายไปหรือถูกขายให้บริษัทอื่น สิ่งนี้เองทำให้มีตัวจำกัดผู้เข้าร่วมแข่งขันด้วย



เรื่องราวเกี่ยวกับ รถ F1 รถแข่งเอฟวัน )
รถ F1, รถแข่งเอฟวัน, รถสูตร 1, ฟอร์มูลาวัน, รถ Formula One     

 หลายคนได้เปรียบเทียบรถแข่งเอฟวัน ( F1 )ว่ามีความคล้ายคลึงกับเครื่องบินขับไล่ในหลายๆด้าน ซึ่งหลักอากาศพลศาสตร์ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะนำความสำเร็จมาสู่ทีมแข่งแต่ละทีม 
      ในการนี้ทีมแข่งทุกทีมต้องลงทุนเป็นเม็ดเงินมหาศาลไปในการค้นคว้าวิจัย ตลอดจนพัฒนาปรับปรุงประสิทธิภาพของรถตลอดเวลา 
      สำหรับทีมออกแบบนั้น ทีมวิศวกรจะคำนึงปัจจัย 2 ปัจจัยในการออกแบบนั่นก็คือ ทำยังไงให้รถวิ่งได้เร็วขึ้นอีก ส่วนอีกประการก็คือ สร้างค่าดาวน์ฟอร์ซให้เพิ่มขึ้นกว่าเดิม (ค่าดาวน์ฟอร์ซเยอะ จะช่วยกดหน้ารถขณะที่วิ่ง ทำให้เข้าโค้งได้ง่าย และ นุ่มนวลมากขึ้น)
      สูตร = น้ำหนักตัวปัจจุบัน (กิโลกรัม) มีหลายทีมแข่งในยุคนี้ ที่หันกลับไปหาปีกติดรถที่เป็นรูปแบบที่ใช้กันในยุคปลายทศวรรษที่ 60 ปีก หรือ แพนหางที่อยู่รถแข่งเอฟวัน จะทำหน้าที่เหมือนกับปีก หรือ แพนหางของเครื่องบิน ต่างกันตรงที่เครื่องบินใช้ปีกในการพยุงตัวมันขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่รถแข่งเอฟวันใช้มันในการช่วยเพิ่มดาวน์ฟอร์ซแก่ตัวรถ โดยในปัจจุบันรถแข่งเอฟวันมีค่าดาวน์ฟอร์ซประมาณ 3.5 g (ประมาณ 3.5 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง)
      เคยมีการทดลองให้รถแข่งเอฟวันใช้ความเร็วเต็มที่โดยไม่ได้ใส่ปีกเข้ากับตัวรถ ปรากฏว่ารถไม่สามารถที่จะวิ่งได้เหมือนปกติ ตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา ด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งกฏ และ กติกา ตลอดจนการพัฒนาชิ้นส่วนเช่นขนาดของปีก หรือ ตำแหน่งที่ติดตั้งปีก ทำให้ลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถแข่งเอฟวันไปได้มากเลยทีเดียว ในการแข่งขันแต่ละสนาม ทีมออกแบบก็จะต้องคิดค้น และ ปรับเปลี่ยนตัวรถให้เข้ากับสนามนั้นๆ อย่างเช่นในการแข่งขันที่ โมนาโก หรือ โมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งมีทางตรงไม่มาก และ มีโค้งเป็นจำนวนมาก ดังนั้นปีกของรถจึงมี 2 ชั้นขึ้นไป (ในปี 2004 เพิ่งจะมีการแก้กฏให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ชั้น) แต่ขณะที่สนามซึ่งมีทางตรงยาวๆอย่าง มอนซ่า ในอิตาลี รถของทุกทีมจะพยายามใช้ปีกแบบชั้นเดียว หรือ ลดให้มีชั้นน้อยที่สุด เพื่อต้องการทำความเร็วสูงสุดบนทางตรง และ ลดแรงเฉื่อยให้มากที่สุดนั่นเอง ไม่นานมานี้ ทีมแข่งหลายๆทีม เริ่มจะเลียนแบบ เฟอร์รารี่ ในเรื่องการออกแบบบริเวณท้ายของตัวรถให้แคบ และ ต่ำที่สุดที่จะเป็นได้ เพราะมันสามารถลดแรงเฉื่อยได้มหาศาล เบรก (Brakes) แม้จะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเรื่องของเทคโนโลยี แต่กติกาของรถแข่งเอฟวัน กลับไม่อนุญาตให้ติดตั้งระบบเบรกแบบกันเบรกล็อก หรือ ABS ได้ โดยเพิ่งจะมีการแบนไม่ใช้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง แม้ไม่ใช่ ABS ทว่ารถแข่งเอฟวัน ก็ใช้เทคโนโลยีในอุปกรณ์อื่นๆมาชดเชย โดยในการทดลองอันหนึ่งมีการนำรถเอฟวันที่วิ่งด้วยความเร็วกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ใช้ความเร็ว และ หยุดในทันที ปรากฏว่าสามารถที่จะหยุดรถนี้ได้แบบสนิทในระยะทางที่สั้นกว่ารถนั่งโดยสารทั่วๆไป ที่ทำความเร็วที่ระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เสียอีก ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง (Cockpit/safety) ความปลอดภัยของห้องโดยสารนักแข่ง ถือเป็นหัวใจของรถแข่งเอฟวันยุคปัจจุบันอย่างแท้จริง เราจะเห็นได้ว่าแม้จะประสบอุบัติเหตุหนักๆ  แต่นักแข่งยุคนี้มักจะไม่เป็นอะไรมากนัก ซึ่งถือว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ FIA รถแข่งเอฟวัน ก็ไม่ต่างจากรถบ้านทั่วๆไป ที่จะต้องมีการทดสอบการชนเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัย ก่อนที่รถจะนำไปใช้แข่ง ซึ่งในการทดสอบนั้นจะใช้ความเร็วเหมือนในสนามแข่งจริงเลย เพื่อจะดูความสามารถของรถว่าสามารถรับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน โค้ง หรือ มุม (Cornering) โค้ง หรือ มุม ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง และ สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการแข่งรถ การแข่งเอฟวันก็เช่นเดียวกัน
      การขับเคี่ยวกันบนทางตรงดูเหมือนจะเป็นการตัดสินกันที่รถคันใดมีพลังเครื่องยนต์ที่มหาศาล หรือ มีระบบเบรกที่เหนียวหนึบกว่ากัน แต่เมื่อเข้าโค้ง ทักษะ และ ฝีมือในการบังคับรถของนักแข่งจะดูเด่นชัดขึ้นทันที ผลแพ้ชนะของการแข่งขันบางครั้งอาจจะตัดสินกันที่โค้งเลยด้วยซ้ำ อาการของรถที่เรียกว่า โอเวอร์สเตียร์ (oversteer) หรือ อันเดอร์สเตียร์ (understeer) คืออาการที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ขณะที่รถเข้าโค้ง จำง่ายๆ ก็คือ  โอเวอร์สเตียร์ คือ อาการที่ด้านท้ายของรถเกิดการปัด และ พยายามจะแซงขึ้นหน้า ขณะที่ด้านหน้ารถกำลังเข้าโค้งอยู่ ส่วน อันเดอร์สเตียร์ ก็คือ การที่รถเข้าโค้งผ่านไปได้โดยที่รถเหมือนจะหนีจากศูนย์กลางออกไป อาการอันเดอร์สเตียร์ ดูจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก เพราะเมื่อรถลดระดับความเร็วลงจากเดิม อาการที่ว่านี้ก็จะหายไป หรือ ไม่ปรากฏ และรถในปัจจุบันนี้ก็สามารถกำหนดได้ว่าจะให้ค่าของการอันเดอร์สเตียร์อยู่ที่ลิมิตเท่าไหร่ ขณะที่ โอเวอร์สเตียร์ ดูจะควบคุมได้ยากกว่า อันเดอร์สเตียร์ อย่างไรก็ดีหากเป็นนักแข่งที่มีความชำนาญมากๆ นักแข่งเหล่านี้สามารถใช้ประโยชน์จากการ โอเวอร์สเตียร์ ได้เช่นกัน เมื่อสามารถจะทำความเร็วก่อนเข้าโค้งได้เพิ่มขึ้น ปกติแล้วสเต็ปขณะที่รถแข่งเข้าโค้งนั้นแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกันประกอบด้วย turn-in, apex และ exit

วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2556

รถครอบครัว

รถยนต์ที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัว



Chevrolet Captiva 3
ดูแลทุกชีวิตในครอบครัวคุณให้ปลอดภัยตลอดเส้นทางการขับขี่ด้วยระบบนิรภัยชั้นยอด รถครอบครัวรูปแบบสปอร์ต มาพร้อมกับสุดยอดนาโนเทคโนโลยี มีเครื่องยนต์ประสิทธิ์ภาพทำงานดีๆ 2.4ลิตร วิ่งให้เต็มสปีดที่ 168 แรงม้า เติมน้ำมัน E85 ได้แบบสบายใจ ห่วงใยคุณด้วยถุงลมนิรภัยรอบคัน ชีวิตมีสีสันด้วยเครื่องเล่นดิจิตอล 3 มิติตอบสนองทุกชีวิตในครอบครัว
รูปลักษณ์ภายนอกถูกออกแบบและตกแต่งให้เข้ากับยุคสมัย ใส่ใจทุกรายละเอียด เฉียบคม โดดเด่นทุกมุมมองพร้อมด้วยอุปกรณ์สุดไฮเทคเพียงพร้อมไม่ว่าจะเป็นกระจกมองข้างที่สามารถปรับและพับเก็บด้วยระบบไฟฟ้า ไฟตัดหมอกด้านหน้าเพื่อเพิ่มทัศวิสัยในการขับขี่ให้ดียิ่งขึ้น ยึดเกาะพื้นถนนทุกการเดินทางด้วยล้ออัลลอยด์อย่างดี และที่สำคัญยังมีไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ สวยแบบเซอร์ๆด้วยกระจังหน้าโครเมียมแบบสปอร์ต
Chevrolet Captiva 2
ภายในถูกตกแต่งด้วยวัสดุที่มีคุณภาพและตอบสนองกับความต้องการของทุกคนในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใช้สอยที่มีบริเวณกว้างขวาง  พนักวางแขนพร้อมกล่องเก็บของภายใน ใส่ใจความปลอดภัยของผู้โดยสารด้วยระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อมกับมาตรวัดความเร็วสุดหรู เคียงคู่กับรีโมทคอนโทรนแบบพับเก็บได้ หายห่วงเรื่องความปลอดภัยด้วยระบบนิรภัยแบบยอดยี่ยม
Chevrolet Captiva 1
ดูแลทุกความปลอดภัยทุกวินาทีในการเดินทางด้วยระบบเบรกที่มีคุณภาพดีเยี่ยม เต็มเปรี่ยมไปด้วยมาตรฐานสากล ทำงานควบคู่กับพร้อมๆกับระบบทรงตัวของรถ โครงสร้างภายในแข็งแรงรองรับการชนและกระแทกทั้งทั้งคัน มีระบบป้องกันการไหลของรถเมื่อจอดบริเวณทางลาดชัน ขับอย่างสุดมันส์ด้วยความปลอดภัยชั้นสูง

รถโบราณ


สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย
VINTAGE CAR CLUB OF THAILAND

รถคลาสสิค

Alfa Romeo Duetto Boat tail

Alfa Romeo Duetto Boat tail

Alfa Romeo Giulia SS

Alfa Romeo Giulia SS

BMW 503

BMW 503

BMW Isetta

BMW Isetta

Corvette C1

Corvette C1

FIAT 219

FIAT 219

Ford Thunderbird Little Bird

Ford Thunderbird Little Bird

Jaguar E-Type Series1

Jaguar  E-Type Series1

Jaguar E-Type Series1

Jaguar E-Type Series1

Jaguar E-Type Series2

Jaguar E-Type Series2

Jaguar Mark II

Jaguar Mark II

Mercedes Benz 220 S Cabriolet

Mercedes Benz 220 S Cabriolet

Mercedes Benz 280SE Cabriolet

Mercedes Benz 280SE Cabriolet

MG A

MG A

TOYOTA 2000 GT

TOYOTA 2000 GT